วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คดีวิสามัญฆาตกรรมที่ทหารตกเป็นผู้ต้องหา

               ในการสอบสวนคดีอาญาที่เกี่ยวกับการวิสามัญฆาตกรรม ซึ่งผู้ตายถูกเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ฆ่าตาย พนักงานสอบสวนจะต้องมีการทำสำนวนคดีที่มีความเกี่ยวพันกับการกระทำผิดที่เกิดขึ้นด้วย เช่น  สำนวนคดีอาญาที่ผู้ต้องหา(หรือผู้ตาย)กระทำผิดอาญา  สำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรม  สำนวนคดีชันสูตรพลิกศพ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงอีกว่า สำนวนคดีที่เกี่ยวข้องดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลใด ระหว่างศาลทหารกับศาลพลเรือน โดยต้องแยกการพิจารณาเป็น ๒ กรณี  ดังนี้
               ๑. ในคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ทหารกระทำต่อทหารด้วยกัน
                   เป็นกรณีผู้กระทำให้ตายและผู้ตายเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร และสำนวนคดีที่เกี่ยวข้องซึ่งมิได้เป็นคดีที่เกี่ยวพันหรือคดีปะปนกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือนตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๑๔ และ ๑๖  ซึ่งเรื่องนี้ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๗๖/๒๕๑๕ (ป) และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๙๖๗/๒๕๕๖ วินิจฉัยไปในแนวทางเดียวกันว่า ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลพลเรือนจะทำการไต่สวนและมีคำสั่งในการชันสูตรพลิกศพ แต่เฉพาะคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลพลเรือนเท่านั้น พนักงานอัยการจะขอให้ศาลไต่สวนการตายของทหารประจำการไม่ได้ จากคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาเห็นว่า การสอบสวนคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลทหารย่อมเป็นไปตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๔๗ และ ๔๘
                  ส่วนการไต่สวนและทำคำสั่งของศาลชั้นต้นตามความในมาตรา ๑๕๐ วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นวิธีการพิเศษที่บัญญัติให้ศาลชั้นต้นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในชั้นสอบสวน ซึ่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารฯ มิได้บัญญัติวิธีการพิเศษให้ศาลทหารเข้าเกี่ยวข้องในการสอบสวนด้วย ดังนั้น การสอบสวนคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนย่อมไม่ต้องดำเนินการดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๐ วรรคห้า
               ๒. ในคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ทหารกระทำต่อพลเรือน
                    เป็นกรณีมีสำนวนคดีที่เกี่ยวพันหรือคดีปะปนกับการกระทำผิดที่เกิดขึ้นซึ่งผู้ต้องหา(ผู้ตาย)กระทำผิดอาญาซึ่งไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร แต่อยู่ในอำนาจของศาลพลเรือนตามมาตรา ๑๔ (๒) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ ประกอบกับอัยการสูงสุดได้มีแนววินิจฉัยมีความเห็นไว้ว่า สำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ผู้กระทำความผิดเป็นทหาร เมื่อทหารซึ่งเป็นผู้กระทำผิดได้อ้างว่ากระทำการในฐานะเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ คดีดังกล่าวถือเป็นคดีวิสามัญฆาตกรรม และเนื่องจากทหารเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๑๖ แต่สำนวนวิสามัญฆาตกรรมไปเกี่ยวพันกับคดีที่ผู้ตายต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งอยู่ในอำนาจศาลพลเรือนคดี จึงไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๑๔ เมื่อคดีอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลพลเรือน การดำเนินการของพนักงานสอบสวนย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
              เมื่อได้ข้อเท็จจริงตามข้อ ๑ หรือข้อ ๒ แล้วแต่กรณี เป็นที่ชัดเจนแล้ว การส่งสำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรมให้พนักงานอัยการ พิจารณาจะสอดคล้องกับอำนาจและวิธีพิจารณาคดีของศาลนั้น
              สรุป.- คดีวิสามัญฆาตกรรมที่ทหารฆ่าทหารตาย พนักงานอัยการจะขอให้ศาลไต่สวนการตายของทหารประจำการไม่ได้ เพราะ พ.ร.บ.พระธรรมนูญศาลทหารฯ มิได้บัญญัติวิธีการพิเศษให้ศาลทหารเข้าไปเกี่ยวข้องในการไต่สวนการตายหรือการสอบสวนนั้นด้วย ดังนั้น เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนย่อมไม่ต้องดำเนินการดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๐ วรรคสาม  ส่วนคดีที่ทหารฆ่าพลเรือนนั้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร แต่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลพลเรือน ดังนั้น พนักงานอัยการจึงขอให้ศาลไต่สวนการตายของพลเรือนได้
            (ที่มา : หนังสือ กองคดีอาญา ที่ ๐๐๑๑.๒๒/๒๑๒๔ ลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ เรื่อง หารือการส่งสำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรมที่ทหารตกเป็นผู้ต้องหา , หนังสือสำนักงานยุติธรรม ที่ ศย ๐๑๖/๕๒๘๔๘ ลง ๒ ต.ค.๒๕๕๗ เรื่อง หารือเหตุขัดข้องการส่งสำนวนคดีชันสูตรพลิกศพ)

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทหารกับพลเรือนต่างขับรถโดยประมาททั้งสองฝ่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๑๑๐๔/๒๕๑๓
พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๑๔, ๑๕ วรรคหนึ่ง
ป.อ. มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๒๒/๒๕๑๓)
           พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๑๔ บัญญัติว่า "คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร คือ
           (๑) คดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน
           (๒) คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
           (๓) คดีที่ต้องดำเนินในศาลคดีเด็กและเยาวชน
           (๔) คดีที่ศาลทหารเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร"
           และมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า   "คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ให้ดำเนินคดีในศาลพลเรือน"
           ฉะนั้น ถ้าคดีนี้ตกอยู่ในกรณีใดกรณีหนึ่งใน ๔ ประการของมาตรา ๑๔ แล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารอันมีผลตามมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง คือต้องดำเนินคดีส่งฟ้องต่อศาลพลเรือน
            ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ก็บรรยายว่า จำเลยกระทำผิดโดยประมาทและความตายของพลทหาร ป. เกิดขึ้นเพราะความประมาทของพลเรือนที่หลบหนีไปซึ่งขับรถโดยประมาท กับจำเลยซึ่งขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เกิดเฉี่ยวและชนกัน
           กรณีจึงเห็นได้ว่า ถ้าไม่เป็นเพราะจำเลยและพลเรือนกระทำผิดโดยประมาทด้วยกัน ความตายของผู้ตายก็เกิดขึ้นไม่ได้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า กรณีเช่นนี้ตกอยู่ในบทบัญญัติมาตรา ๑๔ (๑) ที่ว่า "คดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน" คำว่า "ด้วยกัน" ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องที่ทหารกับพลเรือนได้ร่วมกันกระทำความผิดตามมาตรา ๘๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญาเสมอไป
          แม้ทหารจะกระทำผิดฐานประมาทและพลเรือนก็กระทำผิดฐานประมาท แล้วเป็นเหตุให้คนถึงแก่ความตายอย่างเช่นคดีนี้ ก็เป็นเรื่องที่ "กระทำผิดด้วยกัน" ด้วย เมื่อคดีนี้เป็นคดีตกอยู่ในบังคับแห่งมาตรา ๑๔ (๑) แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ จึงเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารต้องดำเนินคดีนี้ต่อศาลพลเรือนตามมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ศาลพลเรือนประทับรับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษาได้